A Series Of Unfortunate Events SS1

รีวิว A Series Of Unfortunate Events SS1

หากยังจำกันได้ นิยายชุด A Series of Unfortunate Events จากผลงานเขียนของ เลโมนี สนิคเก็ต เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับนิยายมาแล้วในปี 2004 นำแสดงโดย จิม แครี รับบท เคานท์โอลาฟ เมอรีล สตรีพ รับบทคุณป้าโจเซฟีน และจูด ลอว์ ให้เสียง เลโมนี สนิคเก็ต ในฐานะผู้เขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวความโชคร้ายครั้งนี้ แต่เนื่องจากภาพยนตร์เลือกดัดแปลงเรื่องราวจากนิยาย 3 เล่มแรกโดยลำดับเรื่องและผสมการปรากฏตัวของตัวละครใหม่ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ตลกโฉ่งฉ่างจนแฟนนิยายบ่นอุบว่าบอกเล่าเรื่องผิดฟอร์ม อารมณ์ขันร้ายๆ แบบในนิยาย รีวิว A Series Of Unfortunate Events SS1

เรื่องย่อ

หลังเหตุการณ์บ้านถูกไฟไหม้และสูญเสียพ่อแม่ โชคชะตาและมิสเตอร์ โพ นายธนาคาร ได้พาสามพี่น้องโบเดอแลร์ทั้ง ไวโอเลต พี่สาวคนโต นักประดิษฐ์ฝีมือฉกาจ เคลาส์ น้องชายผู้ทรงภูมิจากการเป็นหนอนหนังสือ

และ ซันนี น้องสาวคนสุดท้องที่มีฟันแข็งแรงดุจใบเลื่อย ต้องระหกระเหินไปตามหาผู้ปกครองตามพินัยกรรม แล้วเรื่องราวความโชคร้ายของพวกเขาก็เริ่มขึ้นเมื่อได้เดินทางไปถึง คฤหาสน์อันชวนขนลุกของ เคานท์โอลาฟ นักแสดงหน้าตาน่ากลัวผู้พร้อมทำทุกอย่างเพื่อฮุบสมบัติของพวกเขาจนเหล่าพี่น้องโบเดอแลร์ต้องร่วมมือกันหาทางหนี

แต่แม้จะหนีไปไกลแค่ไหนก็เหมือนไม่มีทางพ้นเงื้อมมือของ เคานท์โอลาฟ ผู้เชี่ยวชาญการปลอมตัวจน มิสเตอร์โพ ดูไม่ออกไปได้เลย งานนี้เหล่าสามพี่น้องต้องร่วมพลังทั้งสมอง สองมือและฟันผจญภัยให้พ้นเงื้อมมือชายแก่ใจร้ายผู้หมายสมบัติของพวกเขาให้จงได้

---

หากยังจำกันได้ นิยายชุด A Series of Unfortunate Events จากผลงานเขียนของ เลโมนี สนิคเก็ต เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับนิยายมาแล้วในปี 2004 นำแสดงโดย จิม แครี รับบท เคานท์โอลาฟ เมอรีล สตรีพ รับบทคุณป้าโจเซฟีน

และจูด ลอว์ ให้เสียง เลโมนี สนิคเก็ต ในฐานะผู้เขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวความโชคร้ายครั้งนี้ แต่เนื่องจากภาพยนตร์เลือกดัดแปลงเรื่องราวจากนิยาย 3 เล่มแรกโดยลำดับเรื่องและผสมการปรากฏตัวของตัวละครใหม่

ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ตลกโฉ่งฉ่างจนแฟนนิยายบ่นอุบว่าบอกเล่าเรื่องผิดฟอร์ม อารมณ์ขันร้ายๆ แบบในนิยาย และหลังจากนั้นข่าวคราวภาคต่อของฉบับภาพยนตร์ก็เงียบหายไปจน เอมิลี บราวนิง ผู้เคยรับบทไวโอเลต โตพอรับบทเซ็กซี่ในภาพยนตร์ไปหลายเรื่องแล้ว

สำหรับฉบับทีวีซีรีส์เพื่อสตรีมมิ่งทาง เน็ตฟลิกซ์ นี้ได้ แบรี ซอนเนนเฟลด์ ผู้กำกับภาพยนตร์แฟนตาซีที่เล่นกับอารมณ์ขันหม่นๆอย่าง The Addams Family (1991) มากุมบังเหียนทั้ง นั่งแท่นโปรดิวเซอร์และกำกับเองใน 4 ตอนสุดท้ายของซีซันแรก

ส่งผลให้ซีซันแรกทั้ง 8 ตอนดัดแปลงจากนิยาย 4 เล่มแรกคือ The Bad Beginning ลางร้ายเริ่มปรากฏ , The Reptile Room ห้องอสรพิษ, The Wide Window หน้าต่างมรณะ

และ The Miserable Mill โรงไม้มฤตยู ในโทนเดียวกับนิยายที่ผสมผสานแฟนตาซีหม่นๆเข้ากับอารมณ์ขัน ไม่เสียชื่อผู้กำกับอย่าง แบรี ซอนเนนเฟลด์ จนทำให้ซีรีส์ถูกใจแฟนนิยายและผู้ติดตามซีรีส์ทาง เน็ตฟลิกซ์ เป็นอย่างมาก

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวความโชคร้ายของ สามพี่น้องตระกูลโบดแลร์ที่เป็นเด็กฉลาด ได้แก่ ไวโอเล็ต เคลาส์ และซันนี่ เป็นซีรีส์ตลกร้ายที่อบอวลไปด้วยความโชคร้าย ทุกข์ใจ และสิ้นหวัง เปิดเรื่องมาสามพี่น้องก็ต้องสูญเสียพ่อแม่ไป

จากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่พวกเขาไม่คาดคิด ทั้ง ๆ ที่พวกเขายังเป็นเด็กและยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ถึงกระนั้นความโชคร้ายก็ยังพอมีความโชคดี โดยพ่อแม่ของพวกเขาได้ทิ้งสมบัติมหาศาลเอาไว้ให้พวกเขานั่นเอง

แต่ทว่าเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่พวกเขายังไม่สามารถได้ใช้สมบัติเหล่านั้นได้ เพราะต้องรอพี่สาวคนโตคือ ไวโอเล็ต โตพอที่จะบรรลุนิติภาวะเสียก่อน พวกเขาสามคนจึงจะสามารถใช้สมบัติเหล่านั้นได้ ทำให้ระหว่างนี้พวกเขาต้องย้ายไปอยู่กับผู้ปกครองที่เหมาะสมเพื่อรอเวลานั้น และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นแห่งความโชคร้ายที่เกิดขึ้น

การเล่าเรื่อง

โดยตัวซีรีส์จะเล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้เราได้ดูกันเพลิน ๆ ไม่ได้หวือหวาแต่ก็ไม่น่าเบื่อเลย เพราะในซีรีส์ดูหนังฟรีหลังสามพี่น้องตระกูลโบดแลร์ได้สูญเสียพ่อแม่ไป ทำให้พวกเขาต้องถูกส่งตัวไปอยู่กับผู้ปกครองหรือเหล่าเครือญาติที่ใกล้ชิดที่สุด

โดยมีนายธนาคารเป็นผู้คอยช่วยเหลือ ซึ่งความโชคร้ายต่อมา นายธนาคารก็ได้พาพวกเขาไปหาเคาท์โอลาฟ ตัวโกงที่ต้องการได้สมบัติของสามพี่น้องโบดแลร์ ที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแน่นอน แต่นายธนาคารที่พาไปกลับดูไม่รู้ซะงั้น

ซึ่งซีรีส์จะทำให้เราเห็นว่า นายธนาคาร ที่เป็นผู้ใหญ่กลับมองไม่ออกถึงการหลอกลวงของเคาท์โอลาฟ ทั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ พยายามจะบอกหลายครั้ง และทำให้เรารู้สึกขัดใจอยู่ตลอดและอยากติดตามว่าซีรีส์จะเป็นยังไงต่อไป

เพราะการที่ซีรีส์พยายามทำให้ผู้ใหญ่ในเรื่องดูโง่ ดูงี่เง่า ที่ไม่ยอมเชื่อฟังเด็ก ๆ และปูเรื่องให้เด็กเหล่านี้ฉลาด สะท้อนให้เห็นบางมุมของสังคม กับการที่ผู้ใหญ่นั้นไม่ค่อยจะฟังคำพูดของเด็กซักเท่าไหร่ ซึ่งพวกเขาอาจคิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่โตกว่าและคิดถูกต้องแล้ว

จะทำให้ซีรีส์ชวนให้เรารู้สึกอึดอัดและอยากดูต่อไปเรื่อย ๆ ว่าบทสรุปของซีรีส์จะเป็นยังไงต่อ ในเมื่อความโชคร้ายของสามพี่น้องโบดแลร์ต้องเอาชีวิตรอด จากการกระทำของเคาท์ โอลาฟ ตัวร้ายที่สามารถปลอมตัวเป็นใครก็ได้

และต่อมา เราจะได้เห็นญาติของตระกูลโบดแลร์ที่แต่ละคนดูเหมือนฉลาดแต่ก็มีความเพี้ยน ๆ ที่ถูกตัวโกงอย่าง เคาท์โอลาฟปั่นหัวและหลอกได้ง่าย ๆ จากการที่สวมบทบาทปลอมตัวในหลาย ๆ บุคลิก หลายเหตุการณ์ ทั้งน้ำเสียง การแต่งตัว รวมทั้งเหล่าลูกน้องจอมเพี้ยนของเคาท์ โอลาฟที่มาเพิ่มสีสันให้กับเรื่องหนังใหม่ชนโรง ทำให้พวกเขาดูเป็นวายร้ายที่ตลกและผสมกับความแฟนตาซีอยู่ไม่น้อยเลย

ซึ่งเพราะอย่างนี้เอง ทำให้สามพี่น้องต้องหาทางหนีและหาทางรอดด้วยตนเอง ด้วยการย้ายไปอยู่กับญาติคนใหม่อยู่เรื่อย ๆ จะทำให้เราเห็นถึงความฉลาดของเด็ก ๆ ที่พยายามคิดหาหนทางหนีจากเคาท์โอลาฟ ซึ่งในซีรีส์ไม่ว่าสามพี่น้องโบดแลร์จะหนีไปไหน

เคาท์โอลาฟกับลูกน้องจอมเพี้ยน ก็สามารถติดตามไปหาได้จนเจอเสมอ และก่อเหตุการณ์ร้าย ๆ ได้ตลอด ซึ่งจะทำให้เราได้ลุ้นไปกับเด็ก ๆ ว่าพวกเขาจะใช้ความฉลาดในการเอาตัวรอดจากความชั่วร้ายของของเคาท์โอลาฟได้อย่างไรนั่นเอง

ด้านนักแสดง

สำหรับการคัดเลือกนักแสดง ต้องบอกเลยว่านี่เป็นทีมนักแสดงในฝันของแฟนนิยายเลยก็ว่าได้ ทั้งเด็กๆ 3 ศรีพี่น้องโบเดอแลร์ที่เปี่ยมสเน่ห์ ทั้งทารกน้อย เพรสลี สมิธ ที่ขโมยซีนพี่ๆได้ทุกฉาก

หลุยส์ ไฮนส์ หนุ่มน้อยที่สวมแว่นตาที่รับบท เคลาส์ หนุ่มเจ้าปัญญาที่อาจทำสาวๆน้ำหมากหกได้ไม่ยาก รวมถึง มาลีนา ไวส์แมน ในบท ไวโอเล็ต ที่เอ่อ…หน้าเหมือน เอมิลี บราวนิง ผู้รับบทเดียวกันในฉบับภาพยนตร์ก่อนหน้าราวกับเป็นฝาแฝด

แต่ด้วยเสน่ห์ทางการตีความแสดงบทบาทนี้ในแบบของเธอทำให้ ไวโอเล็ตในฉบับซีรีส์โดดเด่นจนเราสามารถลืมภาพยนตร์ได้เลยทีเดียว

และที่ขาดไม่ได้คือบทตัวร้ายของเรื่องอย่าง เคานท์โอลาฟ บทเดิมของจิม แครี ที่คราวนี้ได้ นีล แพททริค แฮริส นักแสดงฝีมือฉกาจที่มีผลงานทั้งซีรีส์อย่าง How I Met Your Mother และละครบรอดเวย์ร็อคแอนด์โรลอย่าง Hedwig and the angry inch มาตีความตัวละครที่ผสมผสานความชั่วร้าย

เข้ากับการแสดงแบบเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์ จนแฮริส สามารถแปลงทุกฉากที่เขาปรากฏตัวเป็นเวทีสำหรับปล่อยของสำหรับนักแสดงมากฝีมืออย่างเขาได้อย่างยอดเยี่ยม

สรุป

เป็นซีรีส์ที่สามารถดูได้เพลิน ๆ ไม่ได้น่าเบื่อเลย เพราะออกแนวตลกร้ายผสมกับความแฟนตาซี และจะทำให้เราเห็นผลงานด้านโปรดักชั่นของเรื่องที่ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว จะทำให้เราอยากเอาใจช่วยเด็ก ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

พร้อมทั้งออยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ และสื่งหนึ่งที่จะทำให้เรารู้สึกหลงรัก นั่นก็คือ ซันนี่ โบดแลร์ น้องคนเล็ก ที่น่ารักมาก และไม่คิดว่าจะนำมาแสดงได้ดีตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยซีรีส์จะมีทั้งหมด 8 ตอนเท่านั้น ซึ่งสามารถรับชมได้แล้ว ทาง Netflix