I Kill Giants

รีวิว I Kill Giants - สาวน้อยผู้ล้มยักษ์

ถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยตั้งแต่เห็นทีเซอร์ครั้งแรก แถมยังเป็นผลงานแฟนตาซีล่าสุดของลุง คริส โคลัมบัส ผู้สร้าง Harry Potter ซึ่งคราวนี้ดัดแปลงมาจากนิยายภาพของ โจ เคลลี ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 นิยายภาพที่ ‘เยาวชนควรอ่าน’ และดึง อันเดอร์ส วอลเตอร์ ผู้กำกับดีกรีออสการ์จาก Helium มานั่งแท่นกำกับ I Kill Giants ถือว่างานนี้มีความคาดหวังตามมาไม่น้อยเมื่อดูจากบุคลากรและทีมสร้างชุดนี้ รีวิว I Kill Giants

เรื่องย่อ

นักเรียนมัธยมต้นผู้เดียวดาย ถูกรังแก ไม่มีเพื่อนคบ แถมคนอื่นยังมองว่า "ประหลาด" คนนี้เก็บงำความลับที่น่ากลัวเอาไว้ นั่นก็คือเธอจะออกไปฆ่าพวกยักษ์ในป่าช่วงกลางคืน

---

ถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยตั้งแต่เห็นทีเซอร์ครั้งแรก แถมยังเป็นผลงานแฟนตาซีล่าสุดของลุง คริส โคลัมบัส ผู้สร้าง Harry Potter ซึ่งคราวนี้ดัดแปลงมาจากนิยายภาพของ โจ เคลลี ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 นิยายภาพที่ ‘เยาวชนควรอ่าน’ และดึง อันเดอร์ส วอลเตอร์ ผู้กำกับดีกรีออสการ์จาก Helium มานั่งแท่นกำกับ I Kill Giants ถือว่างานนี้มีความคาดหวังตามมาไม่น้อยเมื่อดูจากบุคลากรและทีมสร้างชุดนี้

เชื่อว่าหลายคนก็พอจะเดาเรื่องราวได้จากการชมตัวอย่างแล้ว เพราะหนังได้บอกเล่าเรื่องคร่าวๆ ไว้แล้วว่าเป็นแนวแฟนตาซี ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ A Monster Calls (2016) ที่เข้าฉายบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว โดยหลักใหญ่ใจความของหนังทั้งสองเรื่องแทบจะเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าความดรามาของ I Kill Giants ไม่เข้มข้นเท่า A Monster Calls เรียกว่าไปไม่สุดเท่าที่ควร

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของ “บาบาร่า ทอร์สัน” (Madison Wolfe) สาวน้อยนักล่ายักษ์ ที่มักจะใช้เวลาว่างไปกับการการเสาะหายักษ์สายพันธุ์ต่างๆ ที่บุกรุกมาจากโลกมืด เพื่อฆ่ายักษ์ทุกตัวที่ย่างกรายเข้ามาในเมืองของเธอ

แต่แล้วเมื่อเธอได้พบกับ “มอลลี่” (Zoe Saldana) อาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ของโรงเรียน ที่ทำให้เธอได้เรียนรู้กับความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับบางอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล

ในส่วนของผู้กำกับก็ได้ Anders Walter ผู้คว้ารางวัลออสการ์จากหนังสั้นเรื่อง Helium มารับหน้าที่กำกับดูหนังออนไลน์ในเรื่องนี้ ในส่วนของนักแสดงก็จะได้ Madison Wolfe (The Conjuring 2) ที่ผ่านการคัดเลือกจากเด็กสาวกว่า 500 คนทั่วประเทศ มารับบทเป็น บาบาร่า และได้สองนักแสดง Imogen Poots และ Zoe Saldana (Guardians of the Galaxy) มาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย

การดำเนินเรื่อง

นักแสดงในเรื่องแสดงและสื่ออารมณืออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะ Madison Wolfe ที่แสดงออกมาได้อย่างสมบทบาทมากๆ บรรยากาศและฉากในเรื่องก็ที่ออกมาได้ลึกลับดี แต่ถ้าใครคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแอ็คชั่น-แฟนตาซี ฉากบู๊อลังการ บอกเลยว่าคุณคิดผิด?! เพราะหนังเรื่องนี้หนังเรื่องนี้คือ ดราม่า-แฟนตาซี ที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กน้อยบาบาร่าได้อย่างเข้มข้นจนคุณไม่คาดคิด

ในภาพรวมแล้ว I Kill Giants ก็มีพลอตเรื่องและบรรยากาศที่คล้ายกับหนังไฮสคูลของฝั่งฮอลลีวูดทั่ว ๆ ไป แต่หนังไม่ได้ให้น้ำหนักกับความขัดแย้ง ปัญหาที่ต้องเจอจากการกลั่นแกล้งในโรงเรียนเท่าไหร่ มีเพียงความสัมพันธ์ของ บาร์บาร่า กับพี่สาวของเธอ (อิโมเจน พูตส์), มอลลี่

คุณครูที่ปรึกษาคนใหม่ของโรงเรียน (โซอี้ ซัลดาน่า) และ เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาอย่าง โซเฟีย เท่านั้นที่ตัวหนังให้ความสำคัญ ซึ่งนั่นหมายความว่า I Kill Giants โฟกัสที่การปูแบ็คกราวน์ของบาร์บาร่า ให้คนดูตั้งคำถามว่า สาวแว่นหนาเตอะคนนี้ เธอกำลังสู้กับอะไรอยู่?

ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งคิดว่า I Kill Giants นี้แทบจะเป็นหนังฝาแฝดของ The Monster Calls เลยก็ว่าได้ เพียงแต่แรงจูงใจจะเอาชนะปีศาจในใจของตัวเองนั้นมีที่มาต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น I Kill Giants ไม่ได้ดูรุนแรงชวนขวัญผวาระทึกอะไรเบอร์นั้น

แม้ว่าจะสามารถทำได้ แต่หนังเลือกจะเล่าโฟกัสไปที่ไม่กี่เมสเซจจริง ๆ คือ พัฒนาการของตัว บาร์บาร่า การก้าวข้ามผ่านห้วงเวลาสำคัญ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ที่ซีรี่ย์ Netflixเล่าผ่านมุมมอง ความเชื่อของเด็กผู้หญิงไฮสคูลคนหนึ่งเวลาเจอปัญหาหนัก ๆ

สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดนี้ เธอได้เรียนรู้แล้วว่า ชัยชนะที่ได้มาในโลกสมมติ กับ ความพ่ายแพ้ในโลกของความเป็นจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอมันแตกต่างกันอย่างไร

จุดที่ชอบ

สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือ การยึดติดกับคอนเซปต์ บรรยากาศ เมสเซจ ที่จะสื่อออกไปได้ต่อเนื่องชัดเจนตลอดรอดฝั่ง ไม่มีไหลออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย หนังดูง่าย เพียงแต่อาจมีข้อติตรงเล่าเรื่องบางช่วงได้เนือยไปหน่อย อาจทำเอาง่วงเหงาหาวนอนได้ในช่วงครึ่งแรกของหนัง แต่ทุกอย่างมันมาสนุกขึ้นในครึ่งหลังทั้งหมด

หนังมีจุดพีคที่ดี เปลี่ยนความคิดคนดูตอนแรก ๆ ที่อาจจะรำคาญบาร์บาร่า รำคาญกับสิ่งที่เธอพยายามต่อสู้ ขวางโลก ก้าวร้าวอยู่คนเดียว แต่ที่สุดแล้วทุกคนจะเข้าใจว่า สิ่งที่เธอทำอยู่ก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่มีโชคชะตาโผล่เข้ากำหนดซึ่งเกินที่ใครจะควบคุมและไม่อยากสูญเสียมันไป

สิ่งที่เป็นจุดดีของหนังอยู่ที่ช่วงท้าย เพราะโมเมนต์ตรงนั้น การตัดต่อ เสียงดนตรีประกอบ และเสียงบทบรรยาย ดูมันเข้ากันได้ดี จนคนดูอย่างเราๆ ต้องหม่นหมองประคองอารมณ์กันเต็ม อินจนน้ำตามันซึมออกมา ทำให้รู้ว่าการเดินทางมาทั้งเรื่องเพื่อจะได้ซึมซับความตื้นตันและรับพลังใจในการใช้ชีวิต

โดยรวม

ด้วยความที่เป็นหนังดรามาแฟนตาซี หลายคนอาจจะคาดหวังความเซอร์ไพรส์อะไรที่ใหม่ๆ จากหนัง ฉะนั้นจึงขอเตือนก่อนว่ามันไม่ได้น่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดไว้ ส่วนใหญ่ออกจะหมั่นเขี้ยวปนเอ็นดูกับการกระทำของตัวเอกในเรื่อง ซึ่งต้องยอมให้กับความคิดจินตนาการอันบรรเจิดของเธอจริงๆ ถึงแม้ว่าการขมวดปมในตอนท้ายเรื่องจะทำออกมาได้ไม่ถึงใจเท่าที่ควร

โดยภาพรวมคือหนังแฟนตาซีที่สอดแทรกปรัชญาและมุมชีวิตไว้เต็มเปี่ยม แน่นอนว่ามันไม่ได้เอนเตอร์เทนจ๋า ไม่ได้มีเวทมนตร์กลไกอะไรให้ตื่นเต้นเลย แต่เป็น coming of age ของเด็กสาวคนอื่น ที่สะท้อนบทเรียนสำคัญในชีวิตว่า การพลัดพรากและจากลาคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ คนบนโลกอีกมากมายที่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้

สรุป

เป็นภาพยนตร์ ดราม่า-แฟนตาซี ที่สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นไปกับตัวละครในเรื่องได้ และการแสดงของเมดิสัน วูล์ฟ ในเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่ดีงามมากๆ แต่ต้องยอมรับว่ามีหลายช่วงของเรื่องที่น่าเบื่อชวนหลับ ข้อย้ำว่าถ้าคุณชอบดูหนังแอคชั่นควรผ่านเรื่องนี้ไปได้เลย แต่ใครที่ชอบหนังดราม่าที่สอดแทรกปรัชญาชีวิตดูเหอะ